รู้หรือไม่ว่าแค่เงินลงทุนหลักหมื่นต่อปี ถ้าลงทุนอย่างมีวินัย ลงทุนต่อเนื่อง ลงทุนถูกเทรนด์จากเงินหลักหมื่นก็สามารถโตเป็นหลักล้านได้ กระแสการเติบโตของเทรนด์เทคโนโลยีตอนนี้หยุดไม่อยู่แล้วจริงๆ บริษัทเทคโนโลยีหลายบริษัทกลายเป็นมหาอำนาจของโลกไปแล้ว ถ้าคุณเชื่อว่าเทรนด์นี้ยังไม่หยุดโต และกำลังหาทางเกาะกระแสเติบโตไปกับมัน การลงทุนในปัจจุบันนี้เอื้อให้เราสามารถลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีได้หลายทาง จะลงทุนเองก็ดี จะซื้อกองทุนก็ง่าย วันนี้ผมเลยมาวิเคราะห์กองทุน T-ES-GTECH ให้อ่านกัน บอกเลยว่ากองทุนนี้ “มีของ” จะเป็นอะไรนั้นอยากให้ลองศึกษาดูครับ
ผมเชื่อว่า 99% ของคนที่เข้ามาลงทุนไม่ว่าจะในหุ้นหรือกองทุนย่อมต้องการผลตอบแทนที่เติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของนักลงทุนส่วนใหญ่ คือแน่นอนต้องให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก สูงกว่าเงินเฟ้อ และถ้าเป็นไปได้ควรทำผลตอบแทนได้ 5-10% ระยะยาวต่อเนื่องทบต้นไปหลายปี

ที่มา https://www.fool.com/investing/general/2015/11/01/the-average-americans-investment-returns-and-how-y.aspx
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2015
หลายคนพยายามหาวิธีที่ซับซ้อน โดยใช้โมเดลทางคณิตศาสตร์บ้าง ใช้หลักการทางเทคนิคบ้าง หรือแม้แต่ใช้ไสยศาสตร์ !!! แต่ในความเป็นจริงนั้น หลายๆครั้งวิธีบ้านๆอย่างการใช้เหตุผลและการใช้คอมมอนเซนส์กลับได้ผลดีกว่าการทำอะไรที่มันซับซ้อน การลงทุนในบริษัทที่ทำสินค้าที่เป็นที่นิยมและอยู่ในเทรนด์คือหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการลงทุน และให้ผลตอบแทนดีไม่น้อย !
ขอยกตัวอย่างหุ้นตัวหนึ่งที่ผมเชื่อว่าทุกคนก็รู้ว่ามันดี ทุกคนก็รู้ว่าหุ้นตัวนี้ทำกำไร ทั้งตัวคุณและคนรอบตัวต่างก็ใช้สินค้าของหุ้นตัวนี้ แต่กลับมีน้อยคนนักที่คิด “ลงทุน” ในหุ้นตัวนี้ หุ้นที่ผมกำลังพูดถึงคือหุ้นAAPL หรือหุ้น Apple
12 ปีแห่งความมหัศจรรย์ของหุ้น AAPL
ถ้าคุณลงทุนในหุ้น AAPL เพียงปีละ 20,000 บาท (จำนวนเงินพอๆกับราคา iPhone สมัยนั้น) ในปี 2007 และเพิ่มเงินลงทุนต่อเนื่องปีละ 20,000 บาทต่อเนื่องทุกปี ณ.ปลายปี 2019 คุณจะมีเงิน 1,512,040 บาท* แบ่งเป็นเงินต้นทุนที่ซื้อหุ้น 259,974 บาท กำไร 1,252,066 บาท (กำไรระดับนี้ยังไม่นับรวมปันผล)
*สมมติฐาน: ซื้อหุ้น AAPL ที่ราคาปิดวันสุดท้ายของปี 2007 โดยจำลองอัตราแลกเปลี่ยนที่ 33 บาท โดยไม่นับรวมปันผล
การลงทุนที่ถูกเทรนด์สามารถทำให้ …
ลงทุน “หลักหมื่น” ต่อปี
มีต้นทุนรวมหลักแสน
แต่มีกำไร “หลักล้าน” !
และแม้จะเจอกับวิกฤต การลงทุน “ต่อเนื่อง” ในเทรนด์ที่ “ถูกต้อง” จะช่วยให้ผลตอบแทนของคุณกลับมาเติบโตได้ในที่สุด (สังเกตว่าผมเลือกจำลองการลงทุนในหุ้น AAPL ตอนปลายปี 2007 ก่อนจะเกิดวิกฤต 2008)

ที่มา Koyfin.com
วันที่ 31 ธันวาคม 2563
ความมหัศจรรย์แบบนี้ไม่ได้มีแต่หุ้น AAPL ในปัจจุบันการลงทุนในหุ้นที่อยู่ในเทรนด์การเติบโตของเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นๆ 5 ปีที่ผ่านมา หุ้นเทคโนโลยีคือกลุ่มที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดในตลาดสหรัฐฯ ถ้า 5 ปีที่ผ่านมากองทุนไหนหรือพอร์ตหุ้นของใครไม่มีหุ้นเทคโนโลยี บอกได้เลยว่าโอกาสที่จะทำผลตอบแทนได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยนั้นยากมาก

ที่มา Koyfin.com
วันที่ 8 มกราคม 2563
ปัจจุบันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีกลายเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดในโลกการเงิน ยกตัวอย่างเช่น
- การกินรวบอุตสาหกรรมระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของ Microsoft Windows
- การกินรวบระบบปฏิบัติการของสมาร์ทโฟน Android ของ Google ถ้ายังจำข่าวเมื่อกลางปีได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อทรัมป์ประกาศสงครามการค้ากับจีนและ Google ประกาศจะไม่ให้ Huawei ใช้ระบบ Android
- การคิดค้นสกุลเงินดิจิตอลใหม่ Libra โดย Facebook ที่กลายเป็นกระแสทั่วโลก และการเปิดตัว Facebook Pay ที่ทำให้คนเล่น Facebook และ Instagram สามารถจ่ายเงินผ่านPlatform ได้โดยตรง
การ Disrupt และกินรวบธุรกิจดิจิตอลระดับนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

ที่มา Koyfin.com
วันที่ 16 ธันวาคม 2562
อำนาจที่มองไม่เห็นเหล่านี้ส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยีหลายบริษัทขึ้นแท่น “ใหญ่ที่สุดในโลก” เมื่อ 10 ปีก่อนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลายตัวมีมูลค่าตลาดเพียงหลัก แสนล้านเหรียญ ปัจจุบันนี้โต 10 เท่าเป็นหลัก ล้านล้านเหรียญ ถ้าเทียบเป็นเงินไทยก็ระดับ 30-40 ล้านล้านบาทไทย การเติบโตยาวๆระดับนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยถ้าลงทุนแต่ในประเทศไทยที่มีประชากรเพียง 69 ล้านคน หุ้นตัวที่ใหญ่ที่สุดในตลาดไทยณ.ตอนนี้คือหุ้น PTT หรือ ปตท. ยังมีมูลค่าตลาดเพียง 1.2 ล้านล้านบาทเท่านั้น (ข้อมูลวันที่ 16 มค. 2020)
การลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีที่ครองใจคนไทยไปหมดแล้ว
เทคโนโลยีกลายเป็นหุ้นที่อยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทยไปแล้ว คนไทยเล่น Facebook และ Instagram เป็นจำนวนสัดส่วนที่มากติดอันดับโลก เข้า Youtube มากกว่าดูทีวี เสริช Google มากกว่าอ่านหนังสือ คุยกับแฟนผ่าน LINE แทนการใช้โทรศัพท์
จากสถิติของ Wearesocial.com คนไทยใช้อินเตอร์เน็ตวันละ 9 ชม. ในขณะที่นอนประมาณวันละ 7-8 ชม. ใช้อินเตอร์เน็ตมากกว่านอนซะอีก
ประเทศไทยยังถือว่าเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของ Facebook อันดับที่ 8 มีผู้ใช้อยู่ทั้งสิ้น 46 ล้านคนเกินครึ่งประเทศไทยไปแล้ว ดังนั้นแม้อยากจะปฏิเสธก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีต่างชาติกำลังแทรกซึมเข้าไปอยู่ในชีวิตของคนไทยอย่างสมบูรณ์แบบ
จะบอกว่าเราเป็นเมืองขึ้นทางเทคโนโลยีของต่างชาติแล้วก็คงไม่ผิดนัก เป็นเรื่องน่าเสียดายแต่ก็ต้องยอมรับความจริง เทคโนโลยีซึ่งกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ใช่จุดแข็งของประเทศไทย จึงไม่แปลกที่ในตลาดหลักทรัพย์ไทยจึงแทบไม่มีหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีมากนัก ถ้าอยากลงทุนในเทรนด์เทคโนโลยีที่กำลังเติบโต การไปลงทุนในตลาดต่างประเทศจึงมี “โอกาส” มากกว่า

ที่มา: Wearesocial
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา จึงเป็นสาเหตุให้ผมต้องจำเป็นต้องออกไปลงทุนต่างประเทศ เพื่อแสวงหาโอกาสที่มากขึ้น เปิดโอกาสให้กับตัวเองในการสร้างผลตอบแทนด้วยการเติบโตของเทรนด์อุตสาหกรรมใหม่ๆ เลิกยึดติดกับการลงทุนแบบเดิมๆ
การก้าวข้าม “ความกลัว” คือก้าวแรกของปฏิหารย์
“ความกลัว” คืออย่างแรกที่เข้ามาจับหัวใจเมื่อผมก้าวออกจากขอบเขตของตนเองไปลงทุนในต่างประเทศ ตลาดหุ้นเปิดตอนกลางคืน ข่าวก็ตามยากขึ้น งบการเงินก็เป็นภาษาอังกฤษ และที่สำคัญต้องเผชิญกับการแข่งขันจากสารพัดนักลงทุนและนักเก็งกำไรจาก Wallstreet อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้นต่างประเทศตอนนี้ยังถือว่าง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ข้อมูลต่างๆ ค่อนข้างมีให้ศึกษามากและรวดเร็วพอสมควร ถ้าคุณพร้อมที่จะให้เวลาและทุ่มเทศึกษา ผมบอกเลยว่าการประสบความสำเร็จในการลงทุนหุ้นต่างประเทศนั้นเป็นสิ่งที่ “เป็นไปได้จริง”
ส่วนสำหรับคนที่ไม่มีเวลาในการศึกษาข้อมูลเชิงลึก ปัจจุบันนี้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนหลายบริษัทในไทยก็เปิดให้ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเหล่านี้ผ่านกองทุนได้แล้ว ซึ่งถือว่าสะดวกขึ้นมากๆ ตัวผมเองก็มีการลงทุนในกองทุนหุ้นเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน
การลงทุนในกองทุนหุ้นเทคโนโลยีทำให้คุณลงทุนตามเทรนด์การเติบโตของเทคโนโลยีได้อย่างไร? ผมขออธิบายด้วยการเล่าถึงกรณีศึกษาการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีของกองทุน T-ES-GTECH จากบลจ.ธนชาต ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดได้ว่ามีกลยุทธ์ที่ “สวยงาม” ในสายตาของผม ถ้าเพื่อนๆมีมุมมองและแนวคิดที่ไม่ยึดติดกับปัจจุบัน หากแต่มองข้ามช๊อตไปในอนาคต กองทุนนี้จะเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์การลงทุนของเพื่อนๆได้
บลจ. ธนชาต ถือเป็นอีกหนึ่งบลจ.ที่ค่อนข้าง Active กับกองทุนแบบใหม่ๆ ที่ผ่านมาตัวบลจ.เองมีกองทุนFlagship ที่นอกจากจะให้ผลตอบแทนดีแล้วยังเป็นที่รู้จักในวงการมากมาย ยกตัวอย่างเช่น T-Low Beta หรือ T-Premium การออกกองทุน T-ES-GTECH น่าจะเป็นกองแรกของบลจ.เลยที่เป็นตระกูลเทคโนโลยี
กรณีศึกษากองทุน T-ES-GTECH
T-ES-GTECH หรือกองทุนเปิดธนชาต อีสสปริง โกลบอล เทคโนโลยี คือกองทุนประเภท Feeder Fund ซึ่งลงทุนในกองทุนต่างประเทศ Polar Capital Global Technology Fund กองทุนมีนโยบายการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน “ระยะยาว” ผ่านการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก ที่ผ่านมากองทุน Polar Capital Global Technology Fund สร้างผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเฉลี่ยต่อปี 11.12% ผลตอบรวม 575.78% ต่อปี เอาชนะดัชนีชี้วัด Dow Jones Global Technology ที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีได้ 9.28% และผลตอบแทนรวม 399.48% ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน (ข้อมูลผลตอบแทนเป็นสกุลเงินGBP)

ที่มา: Polar Capital Global Technology Fund Factsheet
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562
ผลตอบแทนระดับนี้นับว่าสูงพอสมควร อะไรคือสาเหตุที่ทำให้กองทุนนี้ทำผลตอบแทนได้โดดเด่น? ผมคิดว่ามีอยู่ประมาณ 2-3 ประเด็นด้วยกัน
กลยุทธ์การเลือกหุ้นลงทุนที่เน้นการเติบโตมากๆ
กองทุนเน้นลงทุนเฉพาะหุ้นที่เติบโตสูง (รายได้โต 15-25% ขึ้นไป) และกำลังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ อธิบายง่ายๆคือกองทุนพยายามหลีกเลี่ยงลงทุนหุ้นเทคโนโลยีในช่วงต้นที่เพิ่งลงทุนไปและยังไม่มีโมเดลธุรกิจในการทำรายได้ที่ชัดเจน กำไรไม่มี และกองทุนจะเข้าลงทุนต่อเมื่อบริษัทเหล่านี้สามารถสร้างรายได้ มีกำไรแล้วซึ่งก็จะช่วยให้สามารถประเมินความถูกแพงของหุ้นได้ง่ายกว่าการประเมินมูลค่าโดยใช้เพียงจินตนาการแต่ปราศจากรายได้และกำไรที่จับต้องได้จริง

ที่มา: Polar Capital Global Technology Fund Factsheet
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562
ดังนั้นจะเห็นว่าหุ้นที่กองทุนลงทุนนอกจากจะเติบโตแล้วยังเป็นหุ้นที่กำไรดี เงินสดเยอะ และเป็นหุ้นที่เรียกได้ว่าเป็น “เสาหลัก” แห่งซิลิคอนแวลลีย์เลยทีเดียว หุ้นเหล่านี้มีลูกค้าทั่วโลก และผมเองก็เชื่อว่าขณะที่คุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่ก็กำลังใช้บริการของหุ้นเหล่านี้อยู่ด้วย
- ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้ iPhone คุณกำลังใช้บริการของหุ้น AAPL หรือ Apple
- ถ้าสมาร์ทโฟนที่คุณใช้ไม่ใช่ iPhone แต่เป็นยี่ห้ออื่นๆก็อยากให้รู้ว่าคุณกำลังใช้ระบบปฏิบัติการAndroid ที่มาจากบริษัท Alphabet เจ้าของ Google
- รู้หรือไม่ว่าหุ้น FB หรือ Facebook คือเจ้าของแอพโซเชียลอันดับหนึ่งของโลกอย่าง Facebook Instagram Messenger และ WhatApps
- คอมพิวเตอร์ที่คุณใช้มีระบบปฎิบัติการชื่อ Windows หรือไม่? ถ้าใช่คุณกำลังใช้บริการของหุ้นMSFT หรือ Microsoft
- ถ้าคนที่คุณรู้จักสั่งซื้อของออนไลน์จาก Lazada พวกเขากำลังใช้บริการของหุ้น BABA หรือบริษัท Alibaba

ที่มา: Polar Capital Global Technology Fund Factsheet
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562
ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นหุ้นหลักที่อยู่ในกองทุน T-ES-GTECH เป็นหุ้นระดับ Mega Cap คือขนาดยักษ์แต่ก็ยังเติบโตสูงได้ เพราะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ถ้าบริษัทขายสินค้าและบริการจนมีคนใช้เยอะมากทั่วโลกแล้ว การที่จะเปลี่ยนไปใช้บริษัทอื่นนั้นยากมาก ลองนึกภาพดูครับถ้าสมาร์ทโฟนของคุณไม่มีระบบปฏิบัติการ Android ของ Google คุณจะกล้าซื้อไหม? ถ้าคอมที่คุณกำลังจะซื้อไม่มี Windows ล่ะจะทำยังไง? นี่คือพลังของเทคโนโลยียุคใหม่ ลูกค้าใช้แล้วติดใจใช้เป็นนิสัยใช้จนติดเป็นพฤติกรรม ซึ่งการจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทีหลังนั้นยากมากๆ ทำให้บริษัทขนาดยักษ์เหล่านี้ยังโตได้เรื่อยๆในลักษณะ Winner-take-all ชนะแล้วชนะเลย บริษัทใหม่มาแข่งด้วยยาก เป็นปลาใหญ่ที่ว่ายเร็วแถมยังเงินหนาด้วย

ที่มา Statista.com
วันที่ 8 มกราคม 2563
นอกจากหุ้นขนาดใหญ่ที่มี กองทุนยังมีการเลือกเฟ้นหุ้นขนาดกลางที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง และมีโอกาสเติบโตในระยะเวลาอันใกล้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเข้าลงทุนในหุ้น AMD (Advanced Micro Device Inc) ผู้ผลิตชิพประมวลผล (CPU) คอมพิวเตอร์รายใหญ่ 1 ใน 2 ของโลกเคียงคู่กับบริษัท Intel
คอมพิวเตอร์ของ Apple ทุกเครื่องใช้ชิพของ AMD การเติบโตของหุ้นได้ประโยชน์จากเทรนด์การใช้งานชิพประมวลผลความเร็วสูงและชิพประมวลภาพกราฟฟิก ซึ่งกองทุนก็ได้เข้าลงทุนในจังหวะที่เหมาะสมขณะที่หุ้นกำลังกลับตัววิ่งทะลุแนวต้านเป็นเทรนด์ขาขึ้นอย่างชัดเจน

จากข้อมูลล่าสุดกองทุนมีการลงทุนในหุ้นทั้งสิ้น 74 ตัว ข้อดีคือช่วยลดความผันผวนโดยรวมของพอร์ตการลงทุนได้ เพราะหุ้นเทคโนโลยีขึ้นชื่อเรื่องผลตอบแทนสูงที่หลายๆครั้งมาพร้อมกับความผันผวน การกระจายการถือหุ้นจะช่วยลดความผันผวนตรงนี้ได้ โดยกองทุนมีนโยบายการถือหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 60-85 บริษัท
โครงสร้างที่แข็งแกร่งของทีมลงทุน
นอกจากโครงสร้างพอร์ตการลงทุนที่พร้อมรับการเติบโตของเทรนด์ ทีมงานที่เป็นคนตัดสินใจลงทุนเลือกหุ้นต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ในแขนงต่างๆถึง 9 แขนง ไม่ได้ใช้ข้อมูลทางฝั่งการเงินเพียงอย่างเดียว โครงสร้างทีมแบบนี้ผมเห็นในกองทุนหุ้นเทคโนโลยีที่มีในเมืองไทยเพียงไม่เกิน 3 ที่ ถือว่าเป็นจุดเด่นมากๆ เพราะการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีค่อนข้างละเอียดอ่อน แยกย่อยเป็นหลายสายค่อนข้างมาก สาย Platform SaaS (Software as a service) Hardware และ Big Data แต่ละสายงานมีความลึกที่ไม่เหมือนกัน ข้อมูลที่ต้องวิเคราะห์ก็ไม่เหมือนกัน จึงต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของแต่ละคน
ผมเดาว่าพอกองทุนมีทีมงานเฉพาะทางจึงทำให้สามารถแยกสัดส่วนของหุ้นที่ลงทุนออกมาเป็นหมวดๆได้อย่างละเอียดกว่ากองทุนอื่นๆ (ที่อื่นมักจะเขียนรวมๆว่า Information Technology) การให้ข้อมูลแบบนี้ทำให้คนที่ลงทุนอย่างเราๆติดตามทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น นี่เป็นความประทับใจในรายละเอียดงานเล็กๆน้อยๆของทีมงาน Polar Capital ที่ผมถือว่ามีความเป็นมืออาชีพและตัวจริงในวงการหุ้นเทคโนโลยี

ที่มา: Polar Capital Global Technology Fund Factsheet
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562
ความเสี่ยงที่ต้องพึงระวัง
แม้หุ้นเทคโนโลยีจะเติบโตเร็วแต่ขึ้นชื่อว่าการลงทุนแล้วย่อมต้องมีความเสี่ยงที่ต้องทำความเข้าใจ
- P/E ซึ่งที่เป็นดัชนีชี้วัดความถูกแพงของหุ้น P/E ของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีค่อนข้างสูงถือว่าราคาแพง แต่ถ้าเทียบการเติบโต และความแข็งแกร่งของธุรกิจถือว่ามีความสมน้ำสมเนื้ออยู่บ้าง เพราะเป็นบริษัทที่อยู่ในเทรนด์การเติบโตระยะยาวและมีโมเดลธุรกิจ Winner-take-all ซึ่งหาไม่ได้ในประเทศไทย (Winner-take-all คือโมเดลธุรกิจที่เมื่อบริษัทขึ้นเป็นผู้นำตลาดแล้วจะครองความเป็นผู้นำในสัดส่วนมากจนคู่แข่งรายอื่นแทบไม่มีนัยยะ และครองความเป็นผู้นำไปอีกนานหลายปี) ยิ่งถ้าดูดีๆเอาข้อมูลมาเทียบแล้ว นับว่าตัวเลขหลายๆอย่างเช่น ขนาดของหุ้น การเติบโตของรายได้ ระดับหนี้สิน หรือปริมาณเงินสดในมือ ถือว่ากินขาดมากๆเมื่อเทียบกับสถานะทางการเงินของหุ้นเทคโนโลยีในยุค Dot-Com Bubble
- เทรนด์การเติบโตนี้เป็นเทรนด์การเติบโตระยะยาว ดังนั้นมักจะเกิดความผันผวนขึ้นบ้างระหว่างทางเป็นธรรมดา ดังนั้นไม่ควรลงทุนระยะสั้นเลยครับ
- ความผันผวนของค่าเงินก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ที่ถ้าลงทุนในประเทศไทยคุณจะไม่ต้องเอาปัจจัยนี้เข้ามาคิด แต่การลงทุนกองทุนต่างประเทศต้องเจอแน่นอน
- ความซับซ้อนของวงการเทคโนโลยีซึ่งถือว่าต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูงมากๆ และมักมีช่วงการเปลี่ยนแปลงที่บ่อยกว่าวงการอื่นๆ
อนาคตของเทคโนโลยี
เทรนด์ที่เห็นชัดเจนในอนาคตอันใกล้นี้มีอยู่หลายเทรนด์ แต่ที่ชัดเจนว่ากำลังจะเปลี่ยนโลกไปมากที่สุดคือ ปัญญาประดิษฐ์และ 5G ปัญญาประดิษฐ์จะช่วยให้การคิดค้นและวิจัยสินค้าและบริการต่างๆทำได้ในต้นที่ถูกลงมากและในระยะเวลาที่รวดเร็วขึ้น เป็นเทคโนโลยีหลักของการให้กำเนิดหุ่นยนต์ ต่อไปชีวิตมนุษย์จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในค่าใช้จ่ายที่น้อยลง
ส่วนเทรนด์ 5G จะช่วยให้การติดต่อสื่อสารข้ามโลกนั้นรวดเร็วมากๆ ไม่เพียงแต่มนุษย์ที่จะติดต่อสื่อสารกันแต่หุ่นยนต์จะสื่อสารกันเองได้ การที่หุ่นยนต์สื่อสารกันเองได้แบบ Machine-to-Machine จะทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆเช่นรถยนต์ไร้คนขับ ช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนน เพิ่มความปลอดภัย
นี่คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ 2-3 ปีข้างหน้านี้จะเห็นว่าไม่มีจุดไหนเลยที่ไม่ใช้เทคโนโลยี ถ้าไฟฟ้าคือเทคโนโลยีที่คนในยุคปัจจุบันขาดไม่ได้ ต่อไปอินเตอร์เน็ต 5G หรือปัญญาประดิษฐ์ก็สามารถกลายเป็นเทคโนโลยีที่คนในโลกอนาคตจะขาดไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นการลงทุนในสิ่งที่คนต้องใช้อยู่แล้ว ยิ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยจึงมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่เหนือค่าเฉลี่ยได้ นี่คือเสน่ห์ของการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี และกองทุน T-ES-GTECH
มาถึงตอนท้ายของบทความแล้ว … บทความนี้เขียนขึ้นด้วยโปรแกรม Word จาก Microsoft บนเครื่องคอมพิวเตอร์ Macbook Pro จาก Apple หาข้อมูลจาก Google Search ของบริษัท Alphabet โพสต์ลงบทเว็บโซเชียลชื่อ Facebook
แม้อยากหนีไปใช้อย่างอื่นผมบอกเลยว่ามันหนีไม่ได้จริงๆ ถ้าหนีไม่ได้ สู้ก็ไม่ไหว งั้นขอยอมร่วมเป็นส่วนหนึ่งแล้วเติบโตไปด้วยกันซะเลย การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเทรนด์มีไม่กี่ครั้งในชีวิต จะอยู่เป็นผู้ชมหรือจะเติบโตไปด้วยกันตัวคุณเองเท่านั้นที่จะตัดสินใจได้ครับ

ที่มา: Polar Capital Global Technology Fund Factsheet
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562
กองทุน T-ES-GTECH เหมาะกับใคร
- กองทุนนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนในรูปแบบของ Capital gain และเชื่อว่าเทคโนโลยีจะกลายเป็นหุ้นกลุ่มใหม่ที่จะเติบโตมากในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า
- ความเสี่ยงระดับ 7 คนที่จะลงทุนต้องเป็นนักลงทุนที่รับความผันผวนได้ระดับหนึ่งเพื่อแลกกับการเติบโตที่รวดเร็ว
- หุ้นเทคโนโลยีไม่ปันผลและกองทุนนี้ไม่มีปันผล ดังนั้นไม่เหมาะกับคนที่คาดหวังปันผล แต่ข้อดีของการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีคือ เนื่องจากตัวบริษัทมีเงินสดเยอะมาก หลายๆบริษัทมักจะเอาเงินเหล่านั้นไปซื้อหุ้นคืน ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นสูงขึ้นนั่นเอง
ความเห็นส่วนตัวและข้อมูลที่ต้องรู้ถ้าอยากลงทุนในกองทุน T-ES-GTECH
- ผมเองเชื่อว่าการมีวิธีการลงทุนถูกต้องและปรัชญาการลงทุนที่เหมาะสมกับการเติบโตของเทรนด์ใหม่ๆ ด้วยลักษณะเฉพาะของ T-ES-GTECH และปรัชญาการลงทุนที่มีเอกลักษณ์ กองทุนนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่น่าจับตามองในอนาคต และอยู่ใน Watch list ของผมแน่นอนครับ
- ถ้าใครคิดจะซื้ออยู่แล้ว ซื้อตอน IPO มีโปรโมชั่นได้ข้อดีคือเสีย Front end น้อยลง ถ้าซื้อ 10 ล้าน จำนวนเงินที่ประหยัดได้คือ 50,000-60,000 บาทได้ทริปยุโรป 1 ทริปเลยทีเดียว
- กองทุนกำลังจะเปิดขายช่วงวันที่ 28 ม.ค. – 5 ก.พ. 2563 ติดต่อซื้อได้ที่ TMB ทุกสาขาหรือ TMB Investment Line โทร. 1558 กด#9 ได้เลย ผมทำประจำครับไม่มีค่าใช้จ่าย และเดี๋ยวนี้พวกกองทุนตัวท๊อปๆของหลายๆบลจ.ก็ซื้อได้ที่ TMB หมดแล้ว ไปที่เดียวประหยัดเวลา อยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมก็สอบถามได้ ผมถึงบอกไงว่าเดี๋ยวนี้ลงทุนต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยากแล้วครับ 🙂
การลงทุนมีความเสี่ยงขอให้เพื่อนๆหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนทุกครั้ง
ขอย้ำอีกครั้งว่า … การลงทุนที่ดีไม่จำเป็นต้องมีกระบวนการซับซ้อนอะไรแต่เป็นการลงทุนที่มีเหตุมีผลและเมคเซนส์ ไม่ต้องเชื่อผมแต่ให้เชื่อวิจารณญาณของตัวคุณเอง
ขอให้โชคดีกับการลงทุนครับ
แอดมิน Buffettcode
อยากรู้หุ้นเทคโนโลยีเป็นยังไง อ่านตัวอย่างหุ้น Facebook ได้ที่บทความนี้เลยครับ