สรุปข้อมูล เปรียบเทียบหุ้น TECH ชื่อดัง

สรุปข้อมูล เปรียบเทียบหุ้น TECH ชื่อดัง

โดยเพจ Buffettcode

ทุกวันนี้นักลงทุนไทยหลายๆคนได้ไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศกันแล้ว แอ๊ดเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่รู้สึกว่าหุ้นต่างประเทศมีความน่าสนใจไม่น้อย หนึ่งในหุ้นกลุ่มที่แอ๊ดสนใจมาก เพราะหากลุ่มนี้ในตลาดหุ้นไทยไม่ได้ก็คือกลุ่มหุ้น Tech

ทุกวันนี้ Technology กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว หุ้น Tech แต่ละตัวแม้ขนาดจะใหญ่มาก แต่ยังสามารถมีการเติบโตของรายได้และกำไรในระดับสูงได้ ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมากในอดีต ปกติบริษัทใหญ่แล้วก็ต้องโตน้อยลงจริงไหม? ดูอย่างบ้านเราบริษัทใหญ่ๆโต 10% ก็เก่งแล้ว แต่บริษัท Tech ใหญ่ๆเช่น Amazon มีขนาดใหญ่กว่าบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของไทยกว่า 20 เท่าแต่มีการเติบโตของกำไรหลัก 100%

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้บริษัท Tech เหล่านี้เติบโตสูงๆได้คือ “Disruption” นั่นเอง Disruption ของบริษัท Tech คือการใช้ Technology ไปทำลายโครงสร้างการทำธุรกิจเดิมๆของธุรกิจแบบเก่า ไปลดต้นทุน ไปเพิ่มประสิทธิภาพ ไปสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้ลูกค้า ทำให้สามารถแย่งชิงลูกค้าและยอดขายมาจากธุรกิจเดิมๆที่ไม่รู้จักปรับตัวได้ Amazon ที่เมื่อก่อนแค่ขายหนังสือออนไลน์ ปัจจุบันนี้ขายทุกอย่างออนไลน์ Amazon ฆ่าใครไปบ้าง? แน่นอนฆ่าร้านหนังสือปิดไปแล้วหลายราย ต่อมาแม้แต่ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอย่าง Walmart ยังต้องเพลี่ยงพล้ำให้กับ Amazon ตอนนี้ Amazon มีธุรกิจ Cloud ของตัวเอง มีธุรกิจหนังและภาพยนต์ที่มีงบซื้อ Content สูงกว่า HBO ถึง 2 เท่า ! การกลืนกินทุกสิ่งอย่างในโลกธุรกิจคือรูปแบบการทำธุรกิจของบริษัท Tech ที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน

ด้วยความน่าสนใจของหุ้นเหล่านี้วันนี้ผมจึงสรุปข้อมูลการเติบโตและประเภทธุรกิจแบบคร่าวๆมาแชร์กับเพื่อนๆครับ ต้องขอบอกก่อนว่าการจัดหมวดหมู่เป็นไอเดียของผมคนเดียว บางทีก็ไม่ตรงกับหมวดหุ้นที่จัดๆกัน ดังนั้นอาจไม่ถูกต้องตามหลักการทั้ง 100% (อย่าง Nvidia จริงๆต้องอยู่ในหมวด Semiconductors) รวมไปถึงตัวเลขงบการเงิน และการเติบโตอาจมีคาดเคลื่อนจากที่บริษัทประกาศไปเล็กน้อยเพราะผมใช้อัตราแลกเปลี่ยนคนละช่วงกันและผมมีการปัดเศษให้เป็นเลขกลมๆครับ ทั้งนี้ผมไดเลือกเฉพาะหุ้นที่คนพูดถึงกันบ่อยๆในช่วงหลังๆ หากตกหล่นหุ้นดังตัวไหนไป (เช่น Intel, AMD, Samsung, TSMC, Sony, Nintendo, Tesla ไรพวกนี้ผมมีเวลาจะมาเพิ่มให้ครับ) และหากผิดพลาดตรงไหนขออภัยไว้ณ.ที่นี้ด้วยนะครับ

ผมแบ่งหุ้น Tech ออกเป็น 4 กลุ่มตามรูปแบบการทำธุรกิจครับ

กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มที่มีลักษณะเป็นอาณาจักร (Multiple business) บริษัทเหล่านี้เติบโตธุรกิจมาจากสาย Software คือมีเว็บไซต์และธุรกิจบน Application เป็นหลัก นอกจากธุรกิจหลักที่ประสบความสำเร็จแล้วยังมีธุรกิจรองๆลงมาหลายอย่างที่กำลังเติบโต มีการขยายตัวไปต่างประเทศอย่างดุดัน มีขนาดใหญ่และกระแสเงินสดมหาศาล ขยายธุรกิจด้วยการ Takeover เป็นประจำ หุ้นในกลุ่มนี้ก็มี Google, Alibaba, Amazon, Microsoft และ Tencent

หุ้นในกลุ่มที่ 1 มีความแข็งแกร่งโคตรๆ มีทั้งการเติบโต มีทั้งกระแสเงินสดมหาศาล ธุรกิจหลากหลาย ใช้ประโยชน์จากจำนวน User บน Platform ของตัวเองที่ประสบความสำเร็จขยายไป Platform อื่นๆต่อ เช่น Google ทำธุรกิจขายโฆษณาใน Search ขยายไปขายโฆษณาในธุรกิจ Media Youtube, ทำ Google Map และทำ OS มือถืออย่าง Andriod หุ้นในกลุ่มนี้ช่วงแรกๆมักจะกำไรน้อย เพราะให้ใช้ฟรี แต่พอทำไปซักพัก Platform เริ่มมีคนใช้มากขึ้นก็จะเก็บตังค่าใช้ ไม่ก็ขายโฆษณา รายได้จะเข้ามารัวๆในช่วงหลัง

กลุ่มที่ 2 คล้ายๆกลุ่มแรกคือมีขนาดที่โคตรใหญ่เหมือนๆกันแต่เป็นสาย Hardware หรือขายอุปกรณ์พวกมือถือนั่นเองครับ หุ้นในกลุ่มก็มี Apple ที่เปรียบดั่งเทพเจ้าแห่งวงการ Hardware ที่มีทั้ง Smartphone, Tablet, Personal computer และ Gadget ต่างๆ

หุ้นในกลุ่มที่ 2 นี้ได้รายได้มาจากการขายของเป็นหลัก เช่น Apple ขาย iPhone, iPad, Macbook อย่างไรก็ตามพอสินค้าที่ผลิตมาขายดีก็จะตามมาด้วยบริการอื่นๆใน Ecosystem เช่นซื้อ iPhone เสร็จก็ต้องเสียตังไปใช้ iCloud ต่อ ตามด้วย Apple Music เสร็จแล้วถ้าจะซื้อ Tablet ก็ต้องซื้อ iPad มาเพื่อให้ทำงานกับ iPhone ได้ดีเป็นต้น บริษัทพวกนี้มีกำไรแต่แรกเพราะขายของ แต่หลังๆพอมีคนใช้เยอะๆก็จะมีรายได้จากการซื้อบริการของลูกค้าเพิ่มขึ้น อัตราการทำกำไรจะสูงขึ้น มีเงินสดเข้าบริษัทมหาศาลก็เอาไปขยายธุรกิจ Hardware ต่อได้เช่น Apple ที่มีข่าวทำ Apple Car

กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่มีธุรกิจที่มีธุรกิจเป็นสาย Software แข็งแกร่งมากๆใน 1 sector แต่ยังไม่เห็นการเติบโตออกไปธุรกิจอื่นๆซักเท่าไหร่ หุ้นในกลุ่มนี้ก็เช่น ราชาแห่ง Social Media อย่าง Facebook, สุดยอดแอพบันเทิงอย่าง Netflix, Spotify หุ้นที่ทำธุรกิจ Messaging App อย่าง LINE หรือ Search/AI Platform เช่น Baidu

หุ้นในกลุ่มนี้มักจะเป็นสายโฆษณาไม่ก็เก็บค่าสมาชิก แต่มีความแตกต่างกับกลุ่มที่ 1 ตรงที่ยังไม่เห็นมีการขยายธุรกิจสู่ Segment อื่นที่เป็นชิ้นเป็นอัน อย่าง Facebook ก็ยังอยู่ในธุรกิจ Social Media ที่เน้นการโฆษณาเป็นหลัก ส่วน Netflix ก็เน้นดูหนังไป Spotify ก็ฟังเพลงกันรัวๆ กลุ่มนี้เวลาไปชนกับของแข็งอย่างแกงค์อาณาจักรกลุ่มที่ 1 ถ้าไม่แน่จริงแบบ Facebook หรือมี Funciton ที่เด็ดจริงๆก็เตรียมตัวบอกลา ไม่ก็หาคนมา Takeover ได้เลย

กลุ่มที่ 4 เป็นหุ้นที่มีธุรกิจ Hardware ที่แข็งแกร่งและยังไม่เห็นการแตกไลน์ไปทำอย่างอื่นที่ชัดเจนมากมาย หุ้นในกลุ่มนี้ก็เช่น Nvidia ที่มีรายได้มากกว่าครึ่งจากการขายการ์ดจอ GeForce (GPU) ให้กับ Gamer ทั่วโลก จริงๆแล้ว Intel, AMD และ Samsung ก็ถือว่าอยู่ในหมวดนี้เช่นกันครับ

หุ้นกลุ่มนี้มักจะเน้นใช้ความเก๋าส่วนตัว คือความเชี่ยวชาญในการผลิตอะไรบางอย่างที่คนอื่น Copy ตามไม่ได้ง่ายๆ อย่าง Samsung เองกว่าจะผลิตชิพประมวลผลที่ทำงานคล้ายๆ CPU ได้ก็ใช้เวลาไป 20 กว่าปีเป็นต้นเพราะตามความเชี่ยวชาญของ Intel ซึ่งเป็นเจ้าตลาดไม่ทัน

 

โครงสร้างคร่าวๆของหุ้น Tech ที่ผมคิดว่าแยกได้ชัดเจนก็ประมาณนี้ครับต่อมาที่คำถามสำคัญคือแล้วหุ้นตัวไหนน่าสนใจ? ผมก็ต้องบอกว่าแต่ละตัวมีความน่าสนใจที่แตกต่างกันจริงๆ  มาเริ่มด้วยการเปรียบเทียบที่ความใหญ่กันก่อน !

ถ้าเปรียบเทียบที่ความใหญ่? เพราะความใหญ่คือความแข็งแกร่ง ความสำเร็จที่พิสูจน์แล้วและเงินสดมหาศาลที่จะซื้ออะไรโนโลกก็ด้ายยยยย หุ้น Tech ใหญ่ๆก็เช่น

#Apple (AAPL) 925,000 ล้านเหรียญ ใหญ่ที่สุดในโลก ว่าที่บริษัท ล้านล้านเหรียญบริษัทแรกของโลก?

#Amazon (AMZN) 780,000 ล้านเหรียญ บริษัทที่มีเจ้าของรวยที่สุดในโลกอย่าง Jeff Bezos หนึ่งในบริษัทที่ทำให้ Warren Buffett ต้องโทษตัวเองว่าเขาโง่เองที่ไม่ซื้อตั้งแต่นานมาแล้ว

#Microsoft (MSFT) 755,000 ล้านเหรียญ บริษัทในตำนาน ที่ใครๆก็ต้องเคยใช้บริการ เพราะพนักงานและนักธุรกิจทุกคนคงต้องเคยผ่าน Microsoft Window และ Microsoft Office มาแล้วแน่นอน ปัจจุบันหันมาเอาดีด้าน Cloud Computing ทำให้กำไรกลับมาเติบโตอีกครั้ง Personal computer ชื่อ Surface ที่ Microsoft ทำออกมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จไม่น้อยเลย

#Google (GOOG) 740,000 ล้านเหรียญ Search engine อัจฉริยะที่ผมมั่นใจว่าคนไทยเกิน 10 ล้านคนต้องเคยใช้ รวมไปถึงแผนที่ Google Map ที่พากุไปทางตันประจำ แสรดดดดดดด (ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว)

#Facebook (FB) 545,000 ล้านเหรียญ หุ้น Social ที่ทำให้เราผูกพันกันมากขึ้นในโลกออนไลน์ แต่คุยกันน้อยลงในโลกแห่งความจริง ถึงคุยกันแม่งก็คุยกันแต่เรื่องโลกออนไลน์ ในโลกออฟไลน์ เอ้า !!! เริ่มงง เอาเป็นว่าของเค้าดีจริงจนปัจจุบันมีคนใช้แล้วกว่า 2,200 ล้านคน จำนวนคนใช้เยอะจนอย่างเรียกว่าเป็นอีกประเทศเลย เรียกว่าเป็นอีกโลกจะเหมาะสมกว่า ขนาดใหญ่ขนาดนี้ล่าสุดยังโตได้ โห พระเจ้าเรียกพ่อเลย !

#Alibaba (BABA) 507,000 ล้านเหรียญ หุ้นของเจ้าพ่อ E-commerce แจ๊ค หม่า ขายอะไรก็ปัง! ตั้งแต่รถหรู Maserati ยันทุเรียน ไปจนถึงถั่วกระป๋อง Alibaba แม้ไม่ได้ถือหุ้นกันแต่เป็นเจ้าของเดียวกันกับ Ant Financial แอพ Payment #1 ของจีนอย่าง Alipay และของอินเดียอย่าง Paytm

#Tencent (TCEHY) 485,000 ล้านเหรียญ หุ้นเกมส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ROV, PUBG ของบริษัทนี้หมด บริษัทไหนงานดีพี่ CEO Pony Ma จะย่องไปซื้อมาเก็บไว้ Surprise ผู้ถือหุ้นประจำ ตัวอย่างก็เช่น Snapchat และ Flipkart

#Netflix (NFLX) 153,000 ล้านเหรียญ หุ้นดูหนังบุฟเฟต์ที่แม่งจะไม่โตเพราะคนซื้อซื้ออันเดียวแล้วเอามาหาร 5 เนี่ยแหละ ถถถถถถถถถถ ….. จะบอกไว้ให้ว่าล่าสุดงบซื้อ Content ของ Netflix เยอะกว่า HBO เกือบๆ 3 เท่าเลยนะ รายได้ไตรมาสล่าสุดก็โตถึง 28% กำไรโตมากกว่า 60%

#Nvidia (NVDA) 150,000 ล้านเหรียญ หุ้นการ์ดจอ GeForce ขวัญใจเกมส์เมอร์ทั่วโลก ปัจจุบันเอา GPU มาใช้ในการทำ Artificial Intelligence และ Machine learning เป็นหนึ่งในหุ้น Tech สาย Hardware ที่เติบโตสูงสุด

#Baidu (BIDU) 85,000 ล้านเหรียญ หุ้นตำนาน Search engine ของประเทศจีนที่ปัจจุบันมาเน้นเรื่อง AI กำลังจะปล่อยรถยนต์ไร้คนขับออกมาในตลาดภายในปี 2018-2019 นี้

#Spotify (SPOT) 27,000 ล้านเหรียญ หุ้น Application ฟังเพลงบุฟเฟต์ Spotify ที่คนไทยหลายคนก็ใช้บริการอยู่ เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ไปไม่นานมานี้

#Twitter (TWTR) 25,000 ล้านเหรียญ หุ้น Social media สายจริงจัง สำหรับเหล่ากูรู และ Opinion Leader ไตรมาสล่าสุดที่มีการเติบโตกว่า 200% เลยทีเดียว

#Snapchat (SNAP) 13,000 ล้านเหรียญ หุ้น Social media สายป๊อป เน้นวีดีโอ ล่าสุดมีออกสินค้าใหม่เป็นแว่นถ่ายวีดีโอได้ หากเทียบกับหุ้น Social สาย Mainstream แล้วถือเป็นตัวที่เล็กที่สุด แต่ก็ยังมีนวัตกรรมใหม่ออกมาให้ Facebook ก๊อปไปเรื่อยๆ ก็น่าสนใจว่า Snap จะหาวิธีไหนมาแก้เกมส์

#LINE (LINE) 8.6 ล้านเหรียญ หุ้น Messaging ยอดฮิตของคนไทยที่ถือว่าพอฟัดพอเหวี่ยงกับ Facebook ได้ (ในประเทศไทยนะ) ปัจจุบันไลน์ได้แตกไลน์บริการออกมามากมายทั้ง LINE Taxi, LINE Pay และ LINE Man

รู้รายละเอียดคร่าวๆของหุ้นแต่ละตัวแล้วมาดูกันบ้างว่ารายได้เป็นอย่างไร? สิ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจคือถ้าเราลองจัดอันดับหุ้น Tech ทั้งหมดในนี้จะเห็นว่าอันดับของ Market Cap กับอันดับของรายได้จะใกล้เคียงกันมากๆ ผมคิดว่าสำหรับธุรกิจ Tech ตลาดให้ Value กับรายได้มากกว่าผลกำไรมาก ที่ให้ความสำคัญกับรายได้เพราะว่ารายได้คือปัจจัยที่บ่งบอกถึงผลกระทบต่อชีวิตที่บริษัทนั้นๆสร้างกับผู้คนบนโลก ยิ่งรายได้เยอะหมายความว่ามีผู้ใช้บริการเยอะด้วย (แต่ในทางกลับกันถ้าผู้ใช้เยอะแต่ไม่มีรายได้ถือว่าไม่มีประโยชน์เพราะ Monetize ไม่ได้ดังนั้นรายได้จึงดูเหมือนจะสำคัญกว่าจำนวน User ในเชิงของการให้คุณค่ากับบริษัท Tech ที่อยู่ในตลาดซึ่งเป็น Scaling stage) เพราะสำหรับ Tech เมื่อมีลูกค้ามาใช้บริการหนึ่งๆแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะ Cross section ให้มาใช้บริการอื่นๆของบริษัทด้วยอย่างที่ Amazon ทำได้ ดังนั้นหลายๆคนจึงใช้อัตราส่วน Price/Sale (P/S) แทนที่จะใช้ค่า Price/Earning (P/E)

การเติบโตของรายได้ถือเป็นอีก Indicator หนึ่งที่มีความสำคัญไม่ต่างกับการลงทุนในบริษัททั่วๆไป แต่สำหรับบริษัท Tech ถือว่ามีนัยยะมากกว่าการเป็นแค่การเติบโต เพราะโดยธรรมชาติแล้วธุรกิจ Tech ส่วนใหญ่ถูกกระทบจาก Variable cost ที่น้อยกว่าธุรกิจทั่วๆไปทำให้หลายๆครั้งการเติบโตของรายได้เพียงนิดเดียว ส่งผลกระทบถึงกำไรอย่างมหาศาล นอกจากนั้นการที่ Tech มีการเติบโตของรายได้มากยังบ่งบอกถึงศักยภาพการ Disrupt ธุรกิจอื่นๆอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

หุ้น Tech ที่เลือกมาส่วนใหญ่แล้วมีการเติบโตของรายได้ที่ค่อนข้างดี ส่งผลให้กำไรก็เติบโตดีตามไปด้วย จะเห็นว่า Baidu, Twitter มีการเติบโตของรายได้แค่ 20% ต้นๆแต่กำไรเติบโตกว่า 200% ตรงนี้สะท้อนถึงโครงสร้างต้นทุนที่ค่อนข้างเป็นต้นทุน Fix พอผ่านจุดคุ้มทุนกำไรก็โตอย่างรวดเร็วได้

พอมาดูในเชิง P/E จะเห็นว่าหุ้น Tech ส่วนใหญ่อยู่ใน range P/E ประมาณ 20 ปลายๆไปจนถึง 50 หากนำมาเปรียบเทียบกับหุ้นไทยแล้ว ตัว P/E แบบนี้ถือว่าคุณภาพของบริษัท Tech เหมือนจะคุ้มค่าที่จะลงทุนมากกว่าหุ้นไทยหลายๆตัวที่ P/E แพงแบบไม่สมเหตุสมผล ทั้งคุณภาพและการเติบโตสู้บริษัท Tech พวกนี้ไม่ได้เลย

สุดท้ายมาดู Measure ที่คนชอบใช้ในการวัดผลประกอบการของหุ้น Tech ซึ่งก็คือ Price/Sale จะเห็นว่า Amazon อยู่ใน range เดียวกันกับ Apple เลยคือราคาถูกพอๆกันถ้าวัดด้วย P/S นี่อาจเป็นสาเหตุว่าทำไมหุ้น Amazon ยังขึ้นเอาๆตราบใดที่ยังทำให้รายได้โตขึ้นเรื่อยๆ Netflix ที่ P/E สูงถึง 211 เท่าแต่มี P/S 12 เท่าใกล้เคียงกับหุ้น Tech ตัวอื่นๆ

สรุปคร่าวๆ

ผมว่าการลงทุนในหุ้น Tech ไม่ควรดูที่ P/E เพียงอย่างเดียว เพราะ Value ของหุ้น Tech ไม่ได้อยู่ที่การทำกำไรได้หรือไม่เพียงอย่างเดียวแบบธุรกิจทั่วๆไป การดู Price/Sale ที่สามารถสะท้อนศักยภาพในการสร้างรายได้ควบคู่ไปกับการเติบโต โครงสร้างต้นทุนและ โมเดลธุรกิจของบริษัทอย่างละเอียดเป็นตัวๆไปน่าจะเหมาะสมกว่า

 

ปล.ไว้จะอัพเดทให้เรื่อยๆนะครับ อย่าลืม Add LINE หรือ See First กันไว้นะจ๊ะ